วันนี้ (2 ต.ค.68) ที่ห้องประชุมธารทิพย์ 01 ชั้น 4 อาคาร 99 ปี หม่อมหลวง ชูชาติ กำภู
กรมชลประทาน สามเสน ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พร้อมด้วยนายอามินทร์ มะยูโซ๊ะ และ นายนเรศ ธำรงค์ทิพยคุณ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ร่วมกันมอบนโยบายการบริหารราชการ แก่ผู้บริหารและข้าราชการของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยมีนายวิณะโรจน์ ทรัพย์ส่งสุข ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
นายสุริยพล นุชอนงค์ อธิบดีกรมชลประทาน พร้อมด้วยรองอธิบดีกรมชลประทานทั้ง 3 ท่าน (นายฐนันดร์ สุทธิพิศาล นายวิทยา แก้วมี และนายวรพจน์ เพชรนรชาติ) ผู้บริหารระดับสูงของหน่วยงานภายใต้สังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ตลอดจนผู้อำนวยการสำนักงานชลประทานที่ 1-17 และผู้อำนวยการสำนักและกองส่วนกลาง เข้าร่วมรับนโยบายในครั้งนี้
ในการนี้ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้เน้นย้ำถึงหลักการทำงานสำคัญ คือ การยึดมั่นพิทักษ์รักษาไว้ซึ่งสถาบันพระมหากษัตริย์ โดยมุ่งเน้นการสืบสาน รักษา และต่อยอดพระราชปณิธาน พร้อมกำหนดเป้าหมายหลักในการขับเคลื่อนงานตามนโยบายรัฐบาล ด้านการเกษตรและวิสัยทัศน์ Ignite Thailand เพื่อยกระดับให้ประเทศไทย เป็นศูนย์กลางการเกษตรและอาหารของโลก (Agricultural and Food Hub) ซึ่งจำเป็นต้องยกระดับการขับเคลื่อนใน 2 มิติสำคัญ คือ ด้านการผลิต และด้านการตลาด
โดยในส่วนที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ คือ การขับเคลื่อนด้านการผลิต (Supply-side) ซึ่งถือเป็นกลไกสำคัญ (Engine) และเป็นหัวใจของภาคการผลิต โดยแบ่งการดำเนินงานเป็น 2 ส่วนหลัก ได้แก่ 1. การยกระดับศักยภาพสินค้าเกษตรเพื่อเพิ่มรายได้ 2. การเสริมสร้างความเข้มแข็งของเกษตรกรและบุคลากรภาคการเกษตร ซึ่งเป็นภารกิจหลักของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่มุ่งมั่นดูแลเกษตรกรและสถาบันเกษตรกรให้อยู่ดีมีสุข มีรายได้ที่มั่นคง เพื่อเสริมสร้างให้ภาคเกษตรไทยแข็งแกร่ง มีศักยภาพในการแข่งขันทัดเทียมหรือเหนือกว่าประเทศอื่นๆ มีการกำหนดแนวทางในการสานต่อนโยบายเดิมที่เคยได้เดินหน้าไว้ต่อเนื่องและมุ่งเน้น รวม 6 ด้านสำคัญ ดังนี้ 1. เร่งรัดการจัดที่ดินทำกินและสร้างความมั่นคงด้านกรรมสิทธิ์ มุ่งเน้นการจัดที่ดินทำกินให้แก่เกษตรกรอย่างทั่วถึงและเป็นธรรม 2. บริหารจัดการน้ำทั้งระบบเชิงรุก เน้นการบริหารจัดการน้ำอย่างมีระบบและต่อเนื่อง ทั้งการป้องกันน้ำท่วม และการแก้ไขปัญหาภัยแล้ง 3. ยกระดับสินค้าเกษตรและบริการมูลค่าสูง มุ่งเน้นการผลิตสินค้าเกษตรคุณภาพตามมาตรฐานสากลที่สอดคล้องกับความต้องการของตลาด 4. เสริมสร้างศักยภาพเกษตรกรและสถาบันเกษตรกรให้เข้มแข็ง สนับสนุนการเป็น ผู้ให้บริการทางการเกษตรครบวงจร 5. จัดการทรัพยากรทางการเกษตรเพื่อสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืน (Go Green) ส่งเสริมการทำเกษตรที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (Go Green) ตามแนวทาง BCG / Carbon Credit เพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม 6. ปราบปรามสินค้าเกษตรผิดกฎหมายอย่างเข้มงวด
นอกจากนี้ ยังได้กำหนดนโยบายเร่งด่วน "3 สร้าง" เพื่อเป็นกลไกสำคัญในการสร้างความเข้มแข็งในระยะแรก ได้แก่ 1. สร้างรายได้ ปรับเปลี่ยนพื้นที่ปลูกข้าวนาปรังเป็นข้าวโพดเลี้ยงสัตว์/พืชตระกูลถั่ว และสร้างรายได้จากเศษวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร 2. สร้างตลาด ขยายตลาดสินค้าเกษตรทั้งในและต่างประเทศ พร้อมเชื่อมโยงสินค้าเกษตรและผลิตภัณฑ์กับการท่องเที่ยว และ 3. สร้างโอกาส ยกระดับทักษะ (Reskill และ Upskill) ของเกษตรกรให้พร้อมรับการเปลี่ยนแปลง
“ผมพร้อมด้วยรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ทั้ง 2 ท่าน รวมถึงผู้บริหารทีมข้าราชการและบุคลากร พี่น้องครอบครัวกระทรวงเกษตรฯ ทุกคน มีความมุ่งมั่นตั้งใจ ที่จะร่วมกันขับเคลื่อนนโยบายอย่างไม่ย่อท้อ เราจะไม่ทิ้งเกษตรกรไว้ข้างหลัง และจะใช้ทุกศักยภาพที่มีเพื่อสร้างความมั่นคงให้กับภาคเกษตรกรรมไทย สู่การเป็นศูนย์กลางการเกษตรและอาหารของโลกอย่างแท้จริง” ร้อยเอก ธรรมนัสฯ กล่าวในที่สุด