วันนี้ (10 กันยายน2568) ที่ห้องประชุมโครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาป่าสักใต้ ตำบล ท่าหลวง อำเภอ ท่าเรือ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
นายสุริยพล นุชอนงค์ อธิบดีกรมชลประทาน เป็นประธานการประชุมติดตามสถานการณ์น้ำในพื้นที่ ลุ่มน้ำเจ้าพระยา พร้อมด้วย นายเสริมชัย เซียวศิริถาวร ผู้อำนวยการสำนักงานชลประทานที่ 10 นายชุติมันต์ สกุลพราหมณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานชลประทานที่ 11 นายวัชระ ไกรสัย ผู้อำนวยการสำนักงานชลประทานที่ 12 นายทรงพล สวยสม ผู้อำนวยการสำนักเครื่องจักรกล นายกิตติพงษ์ รักจรรยาผู้อำนวยการโครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาป่าสักใต้ ตลอดจนเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุมและรายงานสรุปผลการดำเนินงาน
สืบเนื่องจากกรมอุตุนิยมวิทยาคาดการณ์ว่า ระหว่างวันที่ 10–15 กันยายน 2568 นี้ ประเทศไทยตอนบนยังคงมีฝนตกชุกต่อเนื่อง โดยเฉพาะภาคเหนือ ภาคกลาง และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ส่งผลให้ปริมาณน้ำไหลลงสู่เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์และลำน้ำสาขาเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง กรมชลประทานจึงได้ดำเนินมาตรการบริหารจัดการน้ำอย่างเข้มข้น โดยควบคุมระดับน้ำหน้าเขื่อนพระราม 6 ให้อยู่ในเกณฑ์ +6.50 ถึง +6.80 ม.รทก. โดยใช้เขื่อนพระราม 6 เป็นจุดควบคุมหลัก พร้อมจัดสมดุลการระบายน้ำเข้าสู่คลองสาขาต่าง ๆ อาทิ คลองระพีพัฒน์ คลองพระยาบันลือ และคลองชัยนาท–ป่าสัก เพื่อลดผลกระทบต่อพื้นที่เพาะปลูกและชุมชนท้ายน้ำ
ในระยะยาว กรมชลประทานได้วางแนวทางเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำ โดยปรับปรุงคลองพระยาบันลือและคลองระพีพัฒน์ให้รองรับน้ำได้ จากเดิมที่สามารถรับน้ำได้ 200 ลบ.ม./วินาที เป็น 400 ลบ.ม./วินาที พร้อมก่อสร้างคลองผันน้ำใหม่เชื่อมแม่น้ำป่าสัก – แม่น้ำเจ้าพระยา และพัฒนาเขื่อนทดน้ำป่าสัก เพื่อรองรับปริมาณน้ำและแก้ไขปัญหาอุทกภัยอย่างยั่งยืน
กรมชลประทานยืนยันความพร้อมในการบูรณาการทุกหน่วยงาน ติดตั้งเครื่องจักรเครื่องมือช่วยเหลือพื้นที่เสี่ยง และจัดตั้งศูนย์ติดตามสถานการณ์น้ำแบบเรียลไทม์ เพื่อบรรเทาผลกระทบจากอุทกภัย พร้อมสร้างความมั่นใจให้กับประชาชนในพื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยาและลุ่มน้ำป่าสักอย่างต่อเนื่อง
จากนั้น นายสุริยพล นุชอนงค์ อธิบดีกรมชลประทาน พร้อมคณะ ลงพื้นที่ติดตามการบริหารจัดการน้ำ ที่ประตูระบายน้ำผักไห่-เจ้าเจ็ด จังหวัดพระนครศรีอยุธยา และประตูระบายน้ำและสถานีสูบน้ำกึ่งถาวรปากคลองรังสิต จังหวัดปทุมธานี พร้อมกำชับให้โครงการฯ ตรวจสอบอาคารชลประทาน เครื่องจักร และเครื่องมือให้พร้อมใช้งาน ตลอดจนเร่งกำจัดวัชพืชและสิ่งกีดขวางทางน้ำ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำและรับมือสถานการณ์ได้อย่างทันท่วงที